บทความนี้ครอบคลุมเนื้อหาเกี่ยวกับ
- ตกขาวและวิธีการดูแลน้องสาวที่ถูกต้อง
- วิธีการแยกตกขาวปกติและผิดปกติ
- ตกขาวผิดปกติที่พบได้บ่อย
ตกขาวและวิธีการดูแลน้องสาวที่ถูกต้อง
1. ตกขาวคือสารคัดหลั่งหรือของเหลวที่อยู่ในช่องคลอดซึ่งร่างกายขับออกมา เป็นภาวะปกติของร่างกาย เหมือนเวลาที่เรามีขี้มูก ขี้หู ขี้ตา ได้เป็นปกติ
2. บางคนมักเข้าใจผิดว่า “แค่มีตกขาวก็ต้องรักษาแล้ว” เลยพยายามไปสรรหาอะไรต่างๆ มาลองรักษาโดยไม่จำเป็น ซึ่งความจริงแล้ว หากเป็นตกขาวปกติก็ไม่ต้องไปทำอะไรกับมัน
3. การดูแลน้องสาวที่ถูกต้อง คือการทำความสะอาดเพียงภายนอกด้วยน้ำเปล่า ห้ามสวนล้างเข้าไปในช่องคลอดโดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้สมดุลเปลี่ยนจนเกิดตกขาวผิดปกติได้ (อ่านต่อในข้อ 11-16)
4. อีกเรื่องที่สำคัญคือการดูแลหลังเข้าห้องน้ำ โดยแต่ละครั้ง ควรล้างและซับให้แห้ง เพราะหากปล่อยให้อับชื้นอาจจะเกิดเชื้อราและตกขาวผิดปกติตามมาได้ (อ่านต่อในข้อ 17-21)
5. รวมถึงการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีการสอดใส่ จะทำให้ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ได้ ซึ่งหนึ่งในอาการที่พบได้บ่อยของโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ก็คือตกขาวผิดปกตินั่นเอง (อ่านต่อในข้อ 22-25)
วิธีแยกตกขาวปกติ และผิดปกติ
6. วิธีแยกง่าย ๆ ว่าตกขาวของเราเป็นตกขาวปกติ หรือผิดปกติ ให้สังเกตว่า ลักษณะตกขาวมีสี ปริมาณ และกลิ่น เปลี่ยนแปลงแตกต่างไปจากเดิมหรือไม่ หากมีการเปลี่ยนแปลงก็เป็นไปได้ว่าอาจมีความผิดปกติเกิดขึ้น
7. และยิ่งหากมีอาการผิดปกติอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น คัน แสบ ปวดท้อง ไข้ ก็เป็นไปได้ว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นแน่ ๆ
8. บางคนคงเคยเห็นบทความที่สอนการแยกความผิดปกติของตกขาว จากสีตกขาวล้วนๆ ความจริงแล้วมันไม่สามารถแยกได้ง่ายขนาดนั้น ต้องอาศัยข้อมูลหลายอย่างประกอบกัน
9. สิ่งที่เจ้าของจิ๋มสามารถทำได้ คือ แยกให้ได้เพียงว่า นี่คือตกขาวปกติของเรา หรือมันคือความผิดปกติ
10. ส่วนวิธีการแยกว่า ตกขาวผิดปกตินั้น เป็นอะไร เกิดจากอะไร และรักษาอย่างไร เป็นสิ่งที่แพทย์จะช่วยในการวินิจฉัย ซึ่งจำเป็นต้องมาที่โรงพยาบาล
ตกขาวผิดปกติที่พบได้บ่อย
ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย (Bacterial Vaginosis)
11. สาเหตุ - ไม่แน่ชัด แต่เกี่ยวข้องกับภาวะที่เกิดความไม่สมดุลในช่องคลอด ทำให้แบคทีเรียบางชนิดมีจำนวนมากขึ้นผิดปกติ
12. ความเสี่ยง - จากการสวนล้างเข้าไปในช่องคลอด และการมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนหลาย ๆ คน
13. อาการ - ตกขาวมีสีเปลี่ยนเป็นสีออกเทา มีกลิ่นเหม็นรุนแรง โดยเฉพาะหลังการสอดใส่ อาจมีอาการคันหรือแสบบริเวณน้องสาวได้ แต่ไม่มาก
14. การรักษา - ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียชื่อ Metronidazole (ไม่ควรซื้อทานเอง ใช้เมื่อแพทย์จ่ายเท่านั้น) เพราะหากใช้ไม่ถูกกับโรค อาจเกิดการดื้อยาได้ และยาตัวนี้มีผลข้างเคียงเรื่องคลื่นไส้อาเจียนได้
15. การรักษาทางเลือก - เจลผสมกรดแลคติก (Lactic acid gel) เป็นเจลใช้ในช่องคลอดที่ช่วยปรับสมดุล ด้วยเหตุผลว่า BV ก็คือตกขาวที่เกิดจากสมดุลเปลี่ยน การใช้กรดแลคติกก็สามารถช่วยปรับสมดุลช่องคลอด ลดกลิ่นและบรรเทาอาการตกขาวผิดปกติจาก BV ได้ แม้ว่าวิธีนี้จะยังไม่ได้อยู่ในแนวทางตามมาตรฐาน แต่บางคนก็อยากลองใช้เพราะสามารถซื้อยามาใช้ได้โดยไม่ต้องไปโรงพยาบาล และรู้สึกว่าผลข้างเคียงน้อยกว่ายากิน
16. ข้อควรรู้ - ถ้าไม่รักษา ในบางคนก็โชคดีหายเองได้ แต่อยากย้ำว่าไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ เพราะมีความเสี่ยงเรื่องโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ตามมาได้
ตกขาวจากเชื้อรา (Vaginal Candidiasis)
17. สาเหตุ - การติดเชื้อราในช่องคลอด
18. ความเสี่ยง - ความอับชื้น การติดเชื้อจากคู่นอน การกินยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียรักษาเรื่องอื่น แต่ทำให้เชื้อราในช่องคลอดมากขึ้นผิดปกติ
19. อาการ - ตกขาวสีขาวเป็นก้อน ๆ คล้ายนมบูด มีอาการคันและแสบน้องสาว บางครั้งมีอาการแสบตอนปัสสาวะ
20. การรักษา - ยาฆ่าเชื้อราซึ่งมีทั้งแบบกิน ทา และสอด ขึ้นกับว่าติดเชื้อตรงไหน เช่น ถ้าเป็นแค่บริเวณจิมิภายนอก (Vulvar candidiasis) ก็ใช้ยาทาฆ่าเชื้อราภายนอกก็ได้ แต่หากติดเชื้อเข้าไปในช่องคลอดด้วย ก็ต้องใช้ยาสอดฆ่าเชื้อรา หรืออาจใช้ยากิน ขึ้นกับแพทย์พิจารณา
21. ข้อระวัง - เน้นย้ำว่า ยาสอดไม่สามารถรักษาได้ทุกอาการ ไม่ควรซื้อยามาสอดเองจากการสอบถามข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต หรือจากคำแนะนำส่วนตัวของคนอื่นที่ไม่ใช่บุคลากรทางการแพทย์
ตกขาวจากเชื้อโปรโตซัว (Trichomoniasis)
22. สาเหตุ - การติดเชื้อโปรโตซัวที่ชื่อว่า Trichomonas Vaginalis เกิดขึ้นจากการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์
23. ความเสี่ยง - มีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ใช้อุปกรณ์ป้องกัน
24. อาการ - ตกขาวมีลักษณะเปลี่ยนไป มักจะเป็นสีออกเขียว มีอาการคันและแสบได้
25. การรักษา - ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียชื่อ Metronidazole (แพทย์สั่งจ่ายเท่านั้น)
สรุป
26. สิ่งสำคัญคือทำความเข้าใจเรื่องตกขาวปกติและผิดปกติ การดูแลน้องสาวที่ถูกต้องจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดตกขาวผิดปกติได้
27. หากมีความผิดปกติเกิดขึ้น อยากเน้นย้ำว่าลักษณะและอาการที่เกิดขึ้นไม่สามารถแยกแยะโรคได้แม่นยำ ต้องใช้การตรวจเพิ่มเติมและวิจารณญาณของแพทย์จึงจะเหมาะสม เพราะหากเลือกใช้ยาที่ไม่ตรงกับโรค จะทำให้มีความเสี่ยงในการเกิดเชื้อดื้อยาได้ และอาจทำให้ตัวโรคแย่ลง